วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Paris, Je t’aime เมืองหลวงของความรัก


     เมื่อไม่กี่วันก่อนมีโอกาสไปเดินเล่นแถวสีลมยามค่ำคืน ซึ่งในค่ำวันนั้นเองที่มีโอกาสได้ซื้อดีวีดีติดไม้ติดมือกลับบ้านมาอยู่หลายแผ่น และหนึ่งในนั้นคือ Paris, Je t’aime หนังหลายต่อหลายเรื่องใช้เมืองหลวงของฝรั่งเศสแห่งนี้เป็นฉากหลัง แต่ไม่มีภาพยนตร์เรื่องไหนสามารถดึงเสน่ห์ของนครที่ชื่อมีความหมายว่า ชาวบ้านนอกหรือคนเถื่อน ออกมาได้มากมายเท่ากับเรื่องนี้
ถ้าเอ่ยชื่อของประเทศ ฝรั่งเศส หลายคนคงจะนึกถึง หอไอเฟล อีกมากอยากไปยืนมองดู ประตูชัย ที่งามงด และคงมีอีกไม่น้อยที่ฝันถึง ชายหาดริเวียร่า แต่จุดหมายปลายทางแรกซึ่งทุกคนที่ไปเยือนดินแดนแห่งน้ำหอมต้องสัมผัสก็คือ ปารีส เมืองหลวงที่ได้ชื่อว่ามีเสนห์มากที่สุดแห่งหนึ่งบนโลกใบนี้ ด้วยส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมกับอาคารบ้านช่องสมัยใหม่ ประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่น่าสนใจ ร้านกาแฟข้างทางที่สุดแสนจะโรแมนติก ทำให้ที่แห่งนี้พิเศษกว่าที่ไหนๆ
ปารีสไม่ได้โดดเด่นพียงแค่ตึกรามบ้านช่องและวิถีชีวิตของผู้คนเท่านั้น หากแต่เสน่ห์ที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ต่างหากที่ดึงดูดให้ผู้คนอยากไปเยือน ทั้งสร้างความประทับใจในหลากหลายแง่มุมให้กับผู้คนที่ได้สัมผัสจนอยากกลับมาอีกครั้ง  
หนังปี 2006 เรื่องนี้เป็นการวบรวมหนังสั้นกว่า 18 เรื่อง แต่ละเรื่องมีความยาวไม่เกิน 10 นาที จากการสร้างสรรค์ของผู้กำกับชื่อดังกว่า 20 ชีวิต เช่น กาส แวน แซง, เวส คราเวนวินเซนโซ นาตาลีคริสโตเฟอร์ ดอยส์ และ อัลฟองโซ คูเอรอน เป็นอาทิ

เริ่มต้นจากท้องถนน คาเฟ่ บาร์ หอไอเฟล มัสยิด โมนาลิซ่า สวนสาธารณะ กลางวัน กลางคืน เรื่อยไปจนถึงสถานีรถไฟใต้ดิน ทั้งหมดทั้งมวลคือภาพของปารีสในมุมที่เราไม่เคยได้เห็นมาก่อน ซึ่งทุกหนแห่งที่หนังพาเราไป ล้วนมีเรื่องราวและเรื่องราวเหล่านั้นก็ล้วนเกี่ยวข้องกับคำสั้นๆสองพยางค์ที่เรียกว่า ความรัก ที่เกิดขึ้นกลางใจกลางนครแห่งนี้

        Montmartre ผลงานกำกับของ บรูโน่ โพดาลีเดส เป็นหนังเปิดตัวเรื่องแรก เล่าเรื่องราวง่ายๆ ว่าด้วยเรื่องของชายโดดเดี่ยวคนหนึ่งขับรถออกจากบ้าน หลังจากที่จอดรถได้สักพักก็มีหญิงสาวคนหนึ่งมาเป็นลมอยู่ที่ท้ายรถ จากนั้นความรู้สึกที่เรียกว่ารักก็ก่อตัวขึ้น
        ถัดมาเป็นงานของ กูรินเดอ ชัดดาร์ ในชื่อ Quais de Seine นำเสนอภาพความรักต่างศาสนาและวัฒนธรรมระหว่างเด็กหนุ่มชาวคริสเตียนกับหญิงสาวอิสลาม
        กาส แวง แซง เลือกที่จะบอกเล่าเรื่องราวความรักระหว่างหนุ่ม คน ในเรื่อง Le Marais ที่ฝ่ายหนึ่งเชื่อในเรื่องการตามหาอีกครึ่งหนึ่งของชีวิต ตามหาคู่แท้ ขณะที่อีกฝ่ายก็ไม่เข้าใจเรื่องที่คนแรกพูดนัก
        ทั้งสามเรื่องคือตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดในหนังสั้น เรื่องจากทั้งหมด 18 เรื่องที่อยู่รวมกันในหนังเรื่องนี้ หนังที่พร้อมจะบอกกับเราว่าความรักมีอยู่ทั่วทุกที่บนดาวเคราะห์สีฟ้าดวงนี้
        หนังได้นักแสดงชื่อดังมาร่วมงานอย่างคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็น กาสปาร์ อูลลิแอล ที่กำลังมีผลงานบ้านเราอย่างเรื่อง Hannibal Rising,พ่อหนุ่มโฟรโดจาก Lord of The Rings ทั้งสามภาคอย่าง อีไลจาห์ วู๊ด และสาวสวยอย่าง นาตาลี พอร์ตแมน เป็นต้น ทั้งยังรวมด้วยจูเลียต บีโนชต์แมกกี้ จิลเลอร์ฮาล และ วิลเลี่ยม แดโฟ

        ดังที่บอกไว้ในตอนต้นแล้วว่าหนังนำเสนอประเด็นเรื่องราวของความรักที่เกิดขึ้น ณ ปารีสเป็นหลัก แน่นอนเนื้อหาทั้งหมดทั้งมวลก็ต้องเกี่ยวพันกับสองสิ่งที่ว่า อาจจะเป็นความรักของคนหนุ่มสาว แม่กับลูก บิดากับบุตร และคนแปลกหน้าที่มาเจอะเจอกันยังที่แห่งนี้
        จุดเด่นอย่างชัดเจนของภาพยนตร์ที่รวบรวมเอาเรื่องสั้นจากฝีมือของผู้กำกับหลายๆคนมารวมกันโดยมีจุดร่วมอย่างเดียวกันคงจะหนีไม่พ้นความหลากหลายของเรื่องราว ทั้งยังเป็นตำราชั้นดีในการศึกษาสไตล์ของผู้กำกับแต่ละคน ดังเช่นที่ BMW เคยทำไว้กับ The Hire มาแล้วก่อนหน้านี้  
พ้นจากนี้วิธีการเล่าเรื่องของผู้กำกับแต่ละคนก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เช่น หนังของสองพี่น้อง โจเอล และ อีธาน โคเอน เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขัน และกวน teen เล็กๆ หรือของเวส คราเวน ก็ยังคงไม่ทิ้งเรื่องราวความลี้ลับอย่างเช่นวิญญาณ

 ใน Tour Eiffle ของ ซิลแวน โคเมต์ ก็ใช้ละครใบ้เล่าเรื่อง ตัวละครเอกทั้งสองจะแสดงเป็นละครใบ้ เพื่อสื่อถึงความแปลกแยกและโดดเดียว จนเมื่อมาพบกัน ความอ้างว้างที่มีก็ไม่มีอีกต่อไป
 หรือจะเป็นงานของวินเซนโซ นาตาลี ในชื่อ Quartier de la Madeleine ที่ใช้เรื่องราวของแวมไพร์มาถ่ายทอดเรื่องราวความรักของคนแปลกหน้าสองคนที่มาเจอกันในกลางดึกสงัดของกรุงปารีส ซึ่งสีแดงของเลือดที่แทนค่าได้ถึงความรักยังคงติดตาเมื่อดูจบ
        แม้จะได้ชื่อว่าหนังสั้น และหลายคนพอได้ยินคำๆนี้ก็ต่างเบ้ปากใส่ เพราะเกรงว่าจะดูไม่เข้าใจ หรือคิดว่าหนังสั้นจะดีสู้หนังยาวตามปกติได้อย่างไร คงจะต้องเปลี่ยนใจเมื่อได้ดูการรวบรวม Short Movie เรื่องนี้ เพราะทั้ง 18 เรื่องล้วนเล่าเรื่องง่ายๆ ตรงไปตรงมา มีรูปแบบที่หลากหลาย และสไตล์ที่แตกต่างไปในแต่ละเรื่อง ทั้งท้าทายผู้กำกับเพราะต้องเล่าเรื่องให้อยู่ในเวลาที่จำกัดอย่างมาก

        หลังจากที่ใฝ่ฝันมาทั้งชีวิตว่าอยากจะพาสองเท้าของตัวเองให้ไปหยุดยืนอยู่หน้าสนามแอนฟิลด์ บ้านของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลมาทั้งชีวิต และคิดว่าถ้าทำสำเร็จชาตินี้คงนอนตายตาหลับแล้ว แต่พอได้ดู Paris, Je t’Aime เห็นทีจะต้องเพิ่ม กรุงปารีส เข้ามาเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทาง ดังเช่นที่แครอล ตัวละครในหนังสั้นเรื่องสุดท้าย 14e Arrondissement ของ อเล็กซานเดอร์ เพย์น ว่าเอาไว้
         การนั่งอยู่ในสวนสาธารณะคนเดียวในต่างประเทศ ห่างไกลจากงานและผู้คนที่ตัวเองคุ้นเคย ทำให้ความรู้สึกต่างๆท่วมท้นขึ้นมา มันเหมือนกับว่าจะสามารถจดจำบางสิ่งบางอย่างที่ฉันไม่เคยรู้มาก่อนได้ หรือว่าเป็นสิ่งที่กำลังรอมาทั้งชีวิต แต่ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร อาจจะเป็นบางสิ่งที่หลงลืมหรือบางสิ่งที่สูญหายไปตลอดทั้งชีวิต และในช่วงเวลาเดียวกันก็รู้สึกร่าเริงละคนเศร้าสร้อย แต่ก็ไม่โศกมากนักเพราะว่าฉันรู้สึกว่ายังมีชีวิตอยู่ ใช่ มีชีวิต และนั่นคือช่วงเวลาที่ฉันตกหลุมรักปารีส ซึ่งฉันรู้ว่าปารีสก็ตกหลุมรักฉัน 
         และบางที ถ้าหากดาวเคราะห์สีฟ้าดวงนี้มีชื่อเรียกว่า อาณาจักรแห่งรัก เมืองหลวงของดินแดนนั้นคงจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกเสียจาก ปารีส” … Paris, Je t’Aime

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น